บล็อก-เจอ-เดย์ (ฺฺBLOG-GER-DAY) เป็นงานรวมคนทำคอนเทนต์ออนไลน์ที่น่าจะมากที่สุดงานหนึ่งในช่วง 2-3 ปีมานี้ (ไม่นับงานแจกรางวัลนะ) เยอะจนต้องร้องขอชีวิต บางทีก็สงสัยว่าทำไมเราไม่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้นะ
ตัวงานจะแบ่งเป็นสองช่วงหลัก ช่วงแรกคือช่วงแลกนามบัตร ขอบคุณทางผู้จัดงานที่ตระเตรียมนามบัตรมาให้พวกเราที่ไม่ได้พกนามบัตรกันมาด้วย ได้บังเอิญเจอกับแอดมินและบล็อกเกอร์ที่ติดตามเป็นการส่วนตัวทั้งเพจทีมนั่งรถไฟ กับนายแฮมมึน Nutn0n Blog และเพื่อนๆ บล็อกเกอร์ที่คุ้นเคยจากงาน Blogger Bootcamp ที่ผ่านมา session นี้ให้เวลาทั้งวันก็คงทำความรู้จักกับทุกคนได้ไม่หมดจริงๆ
ช่วงต่อมามีแขกรับเชิญที่มาร่วมสนทนาในหัวข้อว่า “ทำไมบล็อกเกอร์ต้องมาเจอกัน” ตอนแรกเฉยกะหัวข้อมากเลยนะ แต่พอฟังไป ก็ได้ข้อคิดดีๆ กลับมาเยอะ สิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่คำตอบของหัวข้อ แต่เป็นมุมมองจากบล็อกเกอร์ตัวจริงที่มาแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังต่างหาก งานนี้ยังเปิดรับคำถามจากผู้ชมในห้องส่งที่ถามคำถามมารัวๆ ทำให้มีประเด็นที่หลากหลายน่าสนใจ
แขกรับเชิญในวันนี้คือคุณ เอ็ม khajochi คุณตุ๊กจากเพจ Little Monster และคุณก้อง ทรงกลด บางยี่ขัน
ทำไมบล็อกเกอร์ต้องมาเจอกัน
คุณเอ็มเล่าให้ฟังว่าเขียนบล็อกคนเดียวมา 7-8 ปี และเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการเป็นแฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ๊อบ จนตอนหลังได้ออกไปงานรวมตัวคนทำเว็บ คนทำบล็อก ทำให้รู้สึกว่าเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ในวงการ มันเหมือนกับนักวิ่งที่วิ่งคนเดียว ไม่มีใครช่วยสอนช่วยฝึก ก็ไม่รู้ว่าเราทำได้ดีแค่ไหน
คุณก้องออกตัวว่าตัวเองเคยทำงานสื่อมาก่อน ทำให้รู้จักคนในวงการต่างๆ เยอะ เลยกลายเป็นต้นทุนที่หลากหลายในการทำคอนเทนต์
ในทำนองเดียวกันคุณตุ๊กก็รู้สึกว่าการเริ่มต้นนั้นไม่ง่าย ลำบากไปหมด จนกระทั่งมีคนรู้จักมากขึ้นจากโพสที่ไวรัลมากโพสหนึ่ง การได้รู้จักคนอื่นๆ ทำให้ได้ไอเดียในการทำคอนเทนต์ที่หลากหลายมากขึ้น
ทำบล็อกหรือเพจให้เป็นที่รู้จักได้ยังไง
ในมุมมองของคุณตุ๊ก คุณตุ๊กเชื่อว่าคอนเทนต์ต้องดี ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นเจ้าของเพจ ไม่ต้องกังวลเรื่องยอดไลค์ยอดแชร์ แต่ให้คิดว่าเราอยากอ่านอะไรจากเพจนี้
คุณเอ็มเห็นด้วยกับที่บอกว่าคอนเทนต์ต้องดีแถมยังยกตัวอย่างว่าเหมือนเราทำร้านก๋วยเตี๋ยว แต่รสชาติไม่อร่อย ต่อให้แต่งร้านสวยยังไงก็ไม่มีใครมากิน คุณเอ็มยังเล่าให้ฟังจากการพูดคุยกับบล็อกเกอร์ต่างประเทศพบว่า ที่ญี่ปุ่นหรือไต้หวันไม่ค่อยมีบล็อกเกอร์อาชีพ เพราะบล็อกเกอร์อาจไม่ใช่อาชีพแต่เป็นการแชร์ประสบการณ์หรือเปล่า? งานบล็อกเกอร์ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นสิบชั่วโมง แต่เป็นการออกไปหาประสบการณ์ พบปะผู้คน เดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ มากกว่า
บล็อกที่ดีเป็นยังไง
คุณเอ็มคิดว่าบล็อกที่ดีคือมีความสามารถในการ influence คนอ่าน เมื่อรีวิวร้านอาหารแล้วมันอร่อย ก็ต้องทำให้คนอ่านรู้สึกได้ว่ามันอร่อยจริงๆ
ส่วนคุณก้องและคุณตุ๊กเห็นตรงกันว่า ต้องไม่ก๊อปของคนอื่นมา คุณก้องยังเสริมอีกว่า ถ้าเราตั้งโจทย์ว่าบล็อกของเรามันพาสังคมไปสู่ประเด็นแปลกใหม่ ชวนสังคมคุยเรื่องใหม่ๆ น่าจะมีคอนเทนต์น่าสนใจเกิดขึ้นมาอีกมาก
ความท้าทายของบล็อกเกอร์
คุณก้องมองว่ามันคือการทำงานร่วมกับคน ถ้าเราเลือกทำงานกับคนที่ทำด้วยแล้วมีความสุขหาคนที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน จะจูนกันง่ายเวลามีปัญหา เพราะบล็อกเป็นงานศิลปะ คงตัดสินเด็ดขาดกันไม่ได้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก
คุณเอ็มมองว่าปัญหาคือเราทำท่าเดิมไม่ได้ ลักษณะคอนเทนต์ต้องปรับตลอด เมื่อก่อนเราฮิตเล่นไฟล์ gif เร็วๆนี้ก็มีให้เล่นกดรูปแนวตั้งยาวๆ ให้เห็นข้อความที่ซ่อนอยู่ เดี๋ยวนี้มีให้พิมพ์ชื่อตัวเองแล้วดูว่าได้ภาพ gif อะไรขึ้นมา ทุกอย่างมันไปไวมาก จนเราอาจจะปรับตัวไม่ทัน เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
ความท้าทายอีกอย่างคือเวลารับงานแล้วสิ่งที่เราต้องรีวิวไม่ค่อยโอเค คุณเอ็มยืนยันหนักแน่นว่า เราเป็นบล็อกเกอร์ต้องเสนอทั้งข้อดีและข้อเสีย และเอาเข้าจริง เวลาคนอ่านรีวิว คนอ่านเพราะอยากรู้ข้อเสียนะ ถ้าอยากรู้ข้อดีไปเปิดโฆษณาดูก็จบแล้ว ถ้าแบรนด์ที่เราดีลด้วยไม่โอเค เราก็ไม่รับ
ทำเว็บหรือเพจเฟซบุ๊กดี
คุณก้องมองว่าเว็บจะเป็นคลังที่เก็บทุกอย่างของเรา ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (ถ้าเฟซบุ๊กไปเว็บยังอยู่) ในขณะที่คุณเอ็มมองว่าอยู่ที่เราอยากเจาะกลุ่มไหน ถ้าอยากให้ผลงานเราติดอยู่ใน google ก็ทำเว็บ แต่ถ้าอยากให้ส่งต่อกันอยู่ในเฟซบุ๊กก็ทำเพจ จบ!
ควรลาออกจากงานมาเป็นบล็อกเกอร์อาชีพมั้ย
คุณตุ๊กเห็นว่าถ้าตั้งต้นด้วยเงินอย่าทำ คนอ่านดูออกว่าเรามีเจตนาอะไร ที่สำคัญคือต้องประเมินด้วยว่าสายป่านเรายาวแค่ไหน งานบล็อกไม่ใช่ทำ 2 เดือนจบ ถ้าเราทำมันด้วย passion เราจะทำมันได้ตลอดเช้าเย็นและยั่งยืนกว่า
คุณเอ็มเสนอว่าถ้าอยากได้ตังค์ อยากดังใน 3 เดือน ไปโชว์นมเลย ดังแน่นอน ปัญหาของบล็อกเกอร์คือเข้ามาในวงการด้วยความคิดว่าอยากได้ตังค์ อยากใช้ของฟรี อยากเป็นที่รู้จัก แต่ลืมโฟกัสกับคอนเทนต์ไป
คุณก้องสรุปว่าไม่ว่าเราจะทำบล็อกด้วยความคิดแบบไหน อย่าลืมความรู้สึกตอนที่เรานั่งลง แล้วได้เล่าเรื่องว่าเป็นยังไง
เนื่องจากตัวงานมีส่วนที่เป็นเก้าอี้นั่งทางด้านหน้า กับส่วนซุ้มอาหารและเครื่องดื่มทางด้านหลัง ทำให้เสียงจากด้านหลังดังมากลบเวลาแขกรับเชิญคุยกัน ทำให้เนื้อหาบางส่วนขาดหายไปบ้าง โดยเฉพาะส่วนของคุณตุ๊กที่เสียงจากไมค์เบากว่าคนอื่น (ไม่โกรธกันนะครับคุณตุ๊ก) ตอนท้ายๆ ถึงขั้นต้องย้ายมานั่งแถวหน้าสุดเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วประทับใจงานนี้มาก เหมือนงานรวมตัวคนบ้า (คำชมนะครับ) ที่พร้อมจะแชร์เรื่องสนุกๆ ให้คนรอบข้างฟัง งานรวมบล็อกเกอร์มันก็ต้องประมาณนี้แหละ
สุดท้ายนี้ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ