เรื่องย่อ
หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับการผจญภัยของโมอานา ลูกสาวของหัวหน้าชนพื้นเมืองในหมู่เกาะพอลินีเซียโบราณ เธอออกเดินทางตามหามนุษย์ครึ่งเทพมาวอิเพื่อช่วยผู้คนในเกาะของเธอ ระหว่างทางเธอเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแห่งท้องทะเลน้อยใหญ่ และได้เรียนรู้เทคนิคการเดินเรือที่สาบสูญไปแต่โบราณจากมาวอิ
โมอานาอาศัยอยู่ในหมู่เกาะพอลินีเซีย
บริเวณที่ว่านี้เป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกกินบริเวณตั้งแต่ทางเหนือคือฮาวาย ไล่ไปทางตะวันออกถึงเกาะอีสเตอร์ จนลงใต้มาสุดที่นิวซีแลนด์ คนแถบนี้จะล่องเรือแคนนูเดินทางไปตั้งรกรากบนเกาะต่างๆ มีหลักฐานว่าเดินทางไปไกลถึงอเมริกาใต้ กว่าจะมาเป็นหนังเรื่องนี้ดิสนีย์จัดตั้ง Oceanic Story Trust ขึ้นมาโดยการรวบรวมนักมานุษยวิทยา นักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักออกแบบท่าเต้นรวมทั้งคนท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่หนังสื่อออกมาจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของคนในท้องถิ่นนี้ผิดเพี้ยนไป ซึ่งก็มีกระแสวิจารณ์ออกมาหลังฉายว่าทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง เพื่อเป็นเกียรติแก่วัฒนธรรมพอลินีเซียทางดิสนีย์ไม่ได้ระบุชัดว่าเหตุการณ์ในหนังเกิดที่เกาะใดเกาะหนึ่งเป็นพิเศษ แต่เลือกที่จะพูดถึงวิถีชีวิตของคนแถบนี้โดยรวมมากกว่า
ชาวพอลินีเซียเป็นนักเดินเรือที่เก่งกาจ แต่น่าเสียดายที่ภูมิปัญญาในการเดินเรือของชนกลุ่มนี้ต่างหายสาบสูญไปตามกาลเวลา นักมานุษยวิทยาพยายามรื้อฟื้นภูมิปัญญาจากชนเผ่าพื้นเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่และเทคนิคนี้ก็ปรากฏอยู่ในหนังบางฉากด้วยเช่นการสังเกตทิศที่ดาวขึ้นและตกจากขอบฟ้า การวัดมุมด้วยมือ การสังเกตทิศทางลมและคลื่นน้ำ และการเทียบตำแหน่งกับหมู่เกาะใกล้เคียง
การหาทิศ
วิธีที่ง่ายที่สุดคือสังเกตจากการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และสังเกตดาวเหนือในเวลากลางคืน แต่หมู่เกาะพอลินีเซียมีส่วนที่ข้ามมาซีกโลกใต้ทำให้มองไม่เห็นดาวเหนือ นักเดินเรือแถบนี้จึงใช้กลุ่มดาวกางเขนใต้ (Crux) เพื่อหาทิศใต้แทน กลุ่มดาวนี้ประกอบด้วยดาวฤกษ์เด่น 5 ดวง มี 4 ดวงเรียงเป็น 4 ด้านของไม้กางเขน และมีไฝเล็กๆ อยู่ทางขวา กลุ่มดาวนี้ยังปรากฏอยู่บนธงชาติออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ซะด้วย
การหาทิศของนักเดินเรือจะดูจังหวะที่แกนยาวของไม้กางเขนปักลงพื้นพอดี ตำแหน่งที่ชี้ไปตรงนั้นประมาณได้ว่าเป็นทิศใต้ (อาจจะไม่เป๊ะ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง) ปัจจุบันเราจะใช้ดาว Hadar กับ Rigel Kentaurus ทางซ้ายมือมาช่วยทำให้ไม่ต้องรอไม้กางเขนปักลงพื้นพอดีก็ได้ แต่ในบล็อกนี้ขอพูดถึงเทคนิคที่นักเดินเรือใช้กันก่อนนะ
นอกจากนี้ที่ตำแหน่งหนึ่งบนโลก ดาวแต่ละดวงจะขึ้นและตกในทิศเฉพาะของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ในแถบพอลินีเซียกลุ่มดาวนายพรานจะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกในทิศตะวันตกพอดี ถ้าเราเห็นกลุ่มดาวนายพรานเพิ่งขึ้นมาตรงไหน เราจะรู้ได้ทันทีว่าทางนั้นคือทิศตะวันออก นักเดินเรือสังเกตและจดจำการขึ้นและตกของดาวต่างๆ เพื่อใช้บอกทิศทางในเวลากลางคืน เราเรียกเทคนิคนี้ว่า เข็มทิศดวงดาว (star compass) ลองไปดูเข็มทิศดวงดาวของชาวฮาวายได้ที่นี่
การวัดมุมด้วยมือ
การบอกทิศอย่างเดียวคงไม่พอ แต่เราต้องรู้ด้วยว่า ณ ขณะนี้เราอยู่ที่ไหนบนโลกแล้ว นักเดินเรือจึงต้องใช้ดวงดาวช่วยคำนวณตำแหน่งคร่าวๆ ของตัวเองบนผืนโลก โดยการวัดความสูงของดวงดาวด้วยมือ แม้ว่าหน้าตาและการวางมือจะแตกต่างจากเทคนิคสากลที่ใช้ในปัจจุบัน แต่ก็ใช้หลักการเดียวกันคือ ยืดแขนออกไปให้สุด ให้นิ้วทุกนิ้วเรียงชิดติดกันแล้วกางนิ้วโป้งออก ระยะจากนิ้วโป้งถึงนิ้วชี้จะทำมุมกันราว 21 องศา ถ้าให้นิ้วโป้งแตะอยู่ที่ขอบฟ้า เราจะวัดความสูงของดาวจากพื้นได้ นักเดินเรือจะใช้เทคนิคนี้เพื่อดูว่าดาวขึ้นไปสูงสุดจากพื้นกี่องศา (เรามีศัพท์ในวงการว่า จุดที่ดาวข้ามเส้นเมอริเดียน) แล้วคำนวณกลับมาเป็นละติจูดบนโลก ทำให้รู้ว่าควรขึ้นเหนือหรือล่องใต้ต่อไป ในหนังจะเห็นฉากหนึ่งที่โมอานาแบฝ่ามือแล้วเอาไปทาบกับท้องฟ้า แน่นอนว่ามันไม่ใช่การทำ high five กับท้องฟ้าอย่างที่มาวอิแซว จากรูปจะเห็นว่ากลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวกางเขนใต้ ตำแหน่งของดาวที่ปลายกางเขน (Acrux) อยู่ที่ปลายนิ้วชี้ของโมอานาพอดี ซึ่งคิดเป็นความสูงประมาณ 21 องศาจากพื้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราเห็นดาวปุ๊บเราจะเอามือทาบปั๊บ เราต้องรอจังหวะที่ดาวขึ้นไปสูงสุดบนท้องฟ้าเท่านั้น จากรูปข้างบนนี้ดาวยังไม่ขึ้นไปสูงสุดบนท้องฟ้าเลย (ที่ตำแหน่งสูงสุดแกนยาวไม้กางเขนจะเกือบตั้งตรงพอดี เหมือนรูปแรก) ตัวหนังไม่ได้เล่าละเอียดว่าเทคนิคที่โมอานาใช้มีวิธีการยังไง ปกติแล้วการวัดมุมขณะที่ดาวยังไม่ขึ้นสูงสุดจำเป็นต้องรู้ด้วยว่าเราวัดตอนเวลากี่โมง ช่วงไหนของปีจึงจะคำนวณกลับมาเป็นตำแหน่งบนโลกได้
ถ้าเรากลับมาใช้เทคนิคการวัดตำแหน่งสูงสุดของดาวที่เล่ามาก่อนหน้านี้ เราต้องรอให้ดาว Acrux ขยับขึ้นไปสูงสุด ซึ่งน่าจะขึ้นไปได้อีกราวๆ 2 องศา ทำให้สุดท้ายแล้วดาว Acrux น่าจะอยู่สูงสุด 23 องศาจากพื้น
ปกติแล้วดาว Acrux จะอยู่สูงสุดจากพื้น 27 องศา เมื่อยืนสังเกตจากเส้นศูนย์สูตร เมื่อเดินทางขึ้นเหนือจุดสูงสุดของ Acrux จะลดต่ำลงเรื่อยๆ การมองเห็น Acrux ทำมุมสูงสุด 23 องศาทำให้เรารู้ว่า ณ ตอนนี้โมอานาอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรอยู่ 27-23 หรือ 4 องศา (ละติจูด 4 องศาเหนือ) ถ้าโมอานาจะไปที่ละติจูดสูงกว่านี้ก็เดินทางขึ้นเหนือ ถ้าจะไปที่ละติจูดต่ำกว่านี้ก็ลงใต้ แน่นอนว่าคนสมัยก่อนไม่เข้าใจคำว่าละติจูดหรอก แต่สังเกตและจดจำความสูงของดาวเอาเอง ถ้าเรารู้ว่าที่ปลายทางดาวที่เราสังเกตควรจะอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้ ก็สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะขึ้นเหนือหรือลงใต้นั่นเอง นักเดินเรือใช้เทคนิคนี้กับดาวหลายดวง ทำให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเมฆบังดาวไปช่วงหนึ่ง เราก็ยังสังเกตดาวอีกดวงในช่วงเวลาอื่นได้
ตะขอเบ็ดของมาวอิ
อีกกลุ่มดาวหนึ่งที่เป็นเหมือนป้ายบอกทางขณะล่องเรือออกจากเกาะของตัวเองคือตะขอเบ็ดของมาวอิ กลุ่มดาวนี้มีอยู่จริง แม้ดาวจะไม่ได้เรียงตัวเป็นกระจุกหนาแน่นแบบในเรื่องก็ตาม กลุ่มดาวนี้คือกลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius) ส่วนที่เห็นเป็นตะขอคือส่วนหางของแมงป่องนั่นเอง สำหรับแถบพอลินีเซียกลุ่มดาวนี้จะปรากฏเป็นรูปตะขอ ขณะกำลังขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
โมอานาคือผู้พลิกฟื้นการเดินเรือของชาวพอลินีเซีย
มีหลักฐานว่าชาวพอลินีเซียเริ่มตั้งถิ่นฐานในพอลินีเซียตะวันตกเมื่อราว 3,500 ปีก่อน ในขณะที่ตอนกลางและทางตะวันออกเพิ่งจะมีการลงหลักปักฐานเมื่อ 1,500 ถึง 500 ปีก่อนนี้เอง นั่นแสดงว่าชาวพอลินีเซียลงหลักปักฐานในฟิจิ ซามัว และตองกาอยู่นานกว่า 2,000 ปี กว่าจะออกเดินทางต่อ ซึ่งดิสนีย์ก็มาผูกเรื่องเอาว่า เป็นเพราะโมอานานี่แหละที่ช่วยฟื้นฟูภูมิปัญญาในการล่องเรือของชาวพอลินีเซียขึ้นมาใหม่ และออกสำรวจหมู่เกาะน้อยใหญ่ต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่าการสำรวจของชาวพอลินีเซียที่ชะงักไป แล้วกลับมาเริ่มใหม่เกิดขึ้นเพราะอะไร บางทฤษฎีบอกว่าเป็นเพราะลมเปลี่ยนทิศ จากปรากฏการณ์เอลนิโญ ไปจนถึงปรากฏการณ์ซูเปอร์โนวา ที่เป็นแสงนำทางให้นักเดินเรือออกสำรวจต่อ
อย่างไรก็ตามยังมีเทคนิคการเดินเรือที่นักวิจัยรื้อฟื้นขึ้นมาได้อีกจำนวนหนึ่งเช่นการสังเกตฝูงนกที่บินอยู่กลางทะเล การสังเกตคู่ดาวฤกษ์ที่ตกและขึ้นพร้อมกัน การดูทิศทางลมและคลื่นน้ำเป็นต้น เมื่อปี 1980 Nainoa Thompson ทดลองใช้ภูมิปัญญาในการเดินเรือนี้ร่วมกับเทคนิคที่คิดค้นขึ้นเองออกเดินทางบนเรือแคนนูที่ปราศจากเครื่องมือใดๆ จากฮาวาย ไปตาฮิติ แล้วเดินทางกลับได้สำเร็จ เทคนิคที่ Thompson ใช้ได้รับการตีพิมพ์ใน The Journal of the Polynesian Society สามารถตามไปอ่านกันต่อได้
ส่วนตัวชอบหนังที่ผูกกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ มันทำให้หนังมีน้ำหนัก และมีความสมจริงมากขึ้น แถมชวนให้คิดต่อไปอีกว่าความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หนังเรื่องนี้ยังช่วยกระตุ้นให้คนดูเห็นความสำคัญของการนำทางด้วยดวงดาวในอารยธรรมเก่าแก่ แม้ว่าปัจจุบันนี้เราจะมีเข็มทิศ GPS และเครื่องไม้เครื่องมืออีกสารพัด แต่เทคนิคการหาทิศทางและระบุตำแหน่งด้วยดวงดาวก็ยังมีประโยชน์ในวันที่เราไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ติดตัว
ตัวหนังผสานเอาตำนานท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และวัฒนธรรมของผู้คนในแถบพอลินีเซียไว้ได้อย่างลงตัว ถ้าเราถือเอาว่าลูกสาวของผู้ปกครองเมืองคือเจ้าหญิง เราอาจมองว่าโมอานาก็เป็นเจ้าหญิงดิสนีย์อีกคน แต่ในเนื้อเรื่องไม่มีปราสาท ไม่มีเจ้าชายรูปงาม และไม่มีความรักแบบโรแมนติกอยู่เลย ตัวหนังกลับสื่อถึงความรักในพวกพ้องและภาวะความเป็นผู้นำที่ต่อต้านกับขนบความเชื่อเดิมๆที่เคยมีมา นับเป็นพัฒนาการของหนังสำหรับเด็กที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องที่นำเสนอก็ตรงไปตรงมา และมีหลายฉากที่ดูแล้วไม่ค่อยอินเพราะมันค่อนข้างแฟนตาซีจนดูล้น (แต่มั่นใจว่าจะอินกว่านี้ถ้าได้ดูตอนเด็กๆ เพราะงานภาพงานเสียงดีมาก) เช่นฉากต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตในทะเล (ไม่บอกว่าเป็นตัวอะไรแล้วกัน ใบ้ให้ว่าตัวใหญ่ๆ) แถมด้วยความไม่สมเหตุสมผลในเรื่อง ดูจบแล้วมีเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด เช่นว่าอยู่ๆปิศาจในเรื่องมาจากไหน ทำไมไม่คุยกันดีๆแต่แรก ไก่ในเรื่องมีไว้ทำไมต้องฮากับมันมั้ย
ถ้าให้คะแนนหนังเรื่องนี้ จะให้โบนัสเพิ่มสำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินเรือด้วยดวงดาวที่ใส่มาในเรื่อง แต่หักไปนิดหนึ่งตรงที่น่าจะบอกวิธีการให้ชัดกว่านี้ ขอให้ไว้ที่ 7 เต็ม 10 สำหรับ Moana
คิดเห็นยังไงคอมเมนต์ทิ้งไว้ หรือตามไปคุยกันต่อได้ที่หน้าแฟนเพจนะครับ